อสังหาภูเก็ตบูม 4.7 แสนล้าน ต่างชาติแห่ซื้อบ้านตากอากาศ…

ส่องอสังหาฯภูเก็ตบูมมากกว่ายุคก่อนโควิด AREA สำรวจ ณ ไตรมาส 1/67 มีโครงการอยู่ระหว่างขาย 500 โครงการ มูลค่าท่วม 4.7 แสนล้านบาท “บ้าน-คอนโดฯตากอากาศ” ขายดีจัด ลูกค้าต่างชาติช็อปซื้อไม่อั้นราคาหลังละ 20-100 ล้าน “อำเภอถลาง” ดีเวลอปเปอร์แข่งลงทุนปรอทแตก 3.2 แสนล้าน ลุ้นครึ่งปีหลังยังบูมได้อีก รับอานิสงส์ภูมิรัฐศาสตร์โลกเปลี่ยน รอดีมานด์รัสเซีย-ยูเครน-จีนคัมแบ็ก “แสนสิริ-ออริจิ้น” แข่งลงทุนย่านบางเทาดักอนาคต “หาดป่าตอง” ยืนแชมป์ที่ดินแพงสุดไร่ละ 320 ล้าน เฉลี่ยวาละ 8.7 แสนบาท

บูม 500 โครงการ 4.7 แสนล้าน
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือ AREA เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต ล่าสุด ณ ไตรมาส 1/67 เพียงไตรมาสเดียว มีการลงทุนใหม่ทั้งบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียมรวมกัน 54,000 ล้านบาท…

ดร.โสภณ พรโชคชัย

มีผลให้ภาพรวมมีโครงการอยู่ระหว่างเปิดขาย (Active Projects) รวมกันทั้งเกาะอยู่ที่ 500 โครงการ มูลค่ารวม 470,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นภาวะบูมของธุรกิจอสังหาฯในภูเก็ต ซึ่งมีมูลค่าพัฒนาโครงการสูงกว่ายุคก่อนโควิดในปี 2563 ด้วยซ้ำไป

ในจำนวนนี้ คิดเป็นหน่วยขายทั้งสิ้น 72,000 หน่วย ขายได้แล้ว 62,000 หน่วย เท่ากับเหลือขาย 10,000 หน่วย

ทั้งนี้ ข้อมูลพื้นฐานภูเก็ตมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) มูลค่า 110,648 ล้านบาท ณ ปี 2566 มีนักท่องเที่ยว 8,376,464 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 มากถึง 152.29% เมื่อเทียบกับบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ที่มีนักท่องเที่ยว 5,273,258 คน เติบโต 144.61% และเมื่อเทียบกับประเทศมัลดีฟส์ที่มีนักท่องเที่ยว 1.8 ล้านคน ภูเก็ตก็ยังมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากกว่า ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกที่เป็นเดสติเนชั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลก

“อ.ถลาง” ดงลูกค้าต่างชาติ
รายละเอียดโครงการที่อยู่อาศัยพบว่า พื้นที่ยอดนิยมกระจุกตัว 50% ใน “อำเภอถลาง” มีจำนวน 32,000 หน่วย ขายได้แล้ว 25,000 หน่วย เหลือขาย 7,000 หน่วย, “อำเภอเมือง” มี 190 โครงการ รวม 28,000 หน่วย ขายแล้ว 26,000 หน่วย เหลือขาย 1,200 หน่วย และ “อำเภอกะทู้” 70 โครงการ 12,000 หน่วย เหลือขาย 700 หน่วย มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว คอนโดฯ ที่ดินจัดสรร คอนโดฯตากอากาศ และบ้านตากอากาศหรือวิลล่า

โดย ดร.โสภณมีข้อสังเกต ดังนี้ 1.มูลค่าโครงการอยู่ระหว่างขาย 470,000 ล้านบาทนั้น สัดส่วนมากถึง 2 ใน 3 เป็นบ้านและคอนโดฯ ตากอากาศ มีมูลค่า 320,000 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนเพียง 1 ใน 3 เป็นที่อยู่อาศัยรองรับดีมานก์ลูกค้าคนไทย

2.โฟกัสคอนโดฯตากอากาศ มี 130 โครงการ 27,000 หน่วย มีมูลค่าสูงสุด 210,000 ล้านบาท สัดส่วน 45% ราคาเฉลี่ยหน่วยละ 7.7 ล้านบาท เหลือขาย 4,500 หน่วย อัตราขายได้ต่อเดือนอยู่ที่7.2% ซึ่งถือว่าสูงมาก คาดว่าจะขายหมดในเวลา 14 เดือน (กรณีไม่มีโครงการเปิดขายใหม่)

3.สินค้าบ้านตากอากาศมีมากสุด 149 โครงการ รูปแบบเป็นโครงการขนาดเล็กเฉลี่ยโครงการละ 22 หน่วย จำนวน 3,300 หน่วย ราคาเฉลี่ยหลังละ 36 ล้านบาท เหลือขายอยู่ 1,200 หลัง แสดงว่าขายได้แล้ว 60% มีอัตราขายได้เดือนละ 7% คาดว่าจะขายหมดภายใน 14 เดือนเช่นกัน

4.คอนโดฯทั่วไปมี 50 โครงการ รวม 17,000 หน่วย มูลค่า 40,000 ล้านบาท เฉลี่ย 340 หน่วย/โครงการ เน้นลูกค้าคนท้องถิ่นและคนไทยที่มาทำงานป้อนการท่องเที่ยวในภูเก็ต ราคาเฉลี่ย 2.4 ล้านบาท/หน่วย เหลือขาย 1,300 หน่วย มีสัดส่วน 9% ของตลาดรวม มีอัตราขายได้เดือนละ 7% คาดว่าจะขายได้หมดภายใน 15 เดือน

Mont Azure แพงสุด 262 ล้าน


5.สินค้าบ้านเดี่ยวมี 85 โครงการ รวม 6,700 หน่วย มูลค่า 39,000 ล้านบาท เฉลี่ยโครงการละ 80 หน่วย ราคาเฉลี่ย 5.7 ล้านบาท เหลือขาย 1,100 หน่วย แต่อัตราขายได้ค่อนข้างต่ำ เดือนละ 2.2% คาดว่าจะขายหมดภายใน 4 ปี

6.สินค้ายอดนิคมเป็นบ้านแฝด จำนวนใกล้เคียงบ้านเดี่ยว แต่มีมูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 3.5 ล้านบาท เหลือขาย 500 หน่วย คาดว่าขายหมดภายใน 3 ปีครึ่ง

7.สินค้าทาวน์เฮาส์มี 100 โครงการ จำนวน 10,000 หน่วย มูลค่ารวม 27,000 ล้านบาท เหลือขาย 700 หน่วย ราคาเฉลี่ย 2.7 ล้านบาท มีอัตราขายได้เดือนละ 3.1% คาดว่าจะขายหมดภายใน 2 ปีครึ่ง

อาจกล่าวได้ว่า บ้านและคอนโดฯในภูเก็ต มีราคาเฉลี่ย 6.4 ล้านบาท/หน่วย แบ่งเป็นสินค้าเพื่ออยู่อาศัยทั่วไป ราคาเฉลี่ย 3.5 ล้านบาท/หน่วย เทียบกับโครงการตากอากาศเพื่ออสังหาฯ เพื่อการพักผ่อน มีราคาเฉลี่ย 10.7 ล้านบาท/หน่วย

โดยโครงการที่มีราคาถูกที่สุด คือ “บ้านเอกชัยวิลล่า” ถนนเทพกระษัตรี ย่านลิพอน เป็นทาวน์เฮาส์ชั้นเดียว ราคา 0.999 ล้าน จำนวน 45 ยูนิต ปัจจุบันขายหมดแล้ว ส่วนโครงการแพงที่สุด คือ “The Estates at Mont Azure” ย่านหาดกมลา ราคา 262 ล้านบาท/หน่วย

“ตากอากาศ” บูม 20-100 ล้าน
ดร.โสภณกล่าวว่า แยกราคาตามประเภทการพัฒนา มีดังนี้ 1.บ้านเดี่ยว กลุ่มใหญ่ที่สุดขายราคา 5-7 ล้านบาท รองลงมาราคา 7-10 ล้านบาท/หน่วย 2.บ้านแฝดราคา 3-5 ล้านบาท รองลงมาราคา 2-3 ล้านบาท 3.ทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้านบาท รองลงราคา 3-5 ล้านบาท 4.ตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์ ราคา 3-5 ล้านบาท รองลงมา 5-7 ล้านบาท และราคา 7-10 ล้านบาท

5.คอนโดฯทั่วไป กลุ่มใหญ่ที่สุดราคา 2-3 ล้านบาท รองลง ราคา 1-2 ล้านบาท 6.คอนโดฯตากอากาศ กลุ่มใหญ่ที่สุดราคา 5-7 ล้านบาท รองลงมา 3-5 ล้านบาท และราคา 7-10 ล้านบาท

สุดท้าย 7.วิลล่าหรือบ้านตากอากาศ กลุ่มใหญ่ที่สุดราคา 20-40 ล้านบาท รองลงมาราคา 40-60 ล้านบาท และราคามากกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไป กำลังซื้อส่วนใหญ่เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ ซื้อในรูปแบบสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) ซึ่งผู้ซื้อกลุ่มนี้รัฐบาลน่าจะให้การสนับสนุนมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยให้มากขึ้น

ลุ้นครึ่งปีหลังกำลังซื้อทะลัก
สำหรับข้อมูลรายอำเภอพบว่า 1.อำเภอเมืองภูเก็ต คอนโดฯขายคนไทย มีอัตราการขายได้ดีที่สุด 10,000 หน่วย รวมมูลค่า 26,000 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 2.6 ล้านบาท เหลือขาย 500 หน่วย อัตราขายได้เดือนละ 8.1% คาดว่าขายหมดภายในไม่เกิน 1 ปี

2.อำเภอกะทู้ สินค้าหลักคอนโดฯตากอากาศ มี 4,000 หน่วย รวมมูลค่า 28,000 ล้านบาท เหลือขายไม่ถึง 100 หน่วย คาดว่าจะขายหมดในเวลารวดเร็ว

3.อำเภอถลาง มีมูลค่าโครงการพัฒนารวม 290,000 ล้านบาท พบว่าคอนโดฯและบ้านตากอากาศได้รับความนิยมสูงสุด สัดส่วน 86% ของภาพรวมในพื้นที่ แบ่งเป็นคอนโดฯตากอากาศ 150,000 ล้านบาท วิลล่า 100,000 ล้านบาท มีอัตราขายได้เฉลี่ยเดือนละ 8% คาดว่าขายหมดภายในไม่เกิน 1 ปี

สำหรับโครงการเปิดตัวใหม่ไตรมาส 1/67 พบว่ามี 25 โครงการ รวม 4,000 หน่วย มูลค่ารวม 54,000 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 13 ล้านบาท สัดส่วนมากถึง 83% เป็นคอนโดฯตากอากาศ มูลค่ารวม 45,000 ล้านบาท โดยเปิดโครงการกระจุกตัวในอำเภอถลาง

ขณะที่สถิติในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (ไตรมาส 2/66-ไตรมาส 1/67) ภาพรวมมีอัตราขายได้ 10,000 หน่วย รวมมูลค่า 90,000 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 9 ล้านบาท ทำเลหลักอยู่ในเขตอำเภอถลาง

“เทรนด์ครึ่งปีหลัง 2567 คาดว่าจะบูมกว่านี้ ปัจจุบันไตรมาส 1 เปิดตัว 54,000 ล้าน คาดว่าครึ่งปีหลังน่าจะเปิดพรีเซลใหม่เฉลี่ย 6-6.5 หมื่นล้านบาท รับอานิสงส์ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ลูกค้ารัสเซีย ยูเครน รวมทั้งจีนเริ่มกลับมาช็อปซื้อมากขึ้น”

หาดป่าตองยืนแชมป์ที่ดินแพง
ดร.โสภณให้ข้อมูลด้านราคาที่ดินด้วยว่า สถิติ 20 ปี (2547-2567) ราคาที่ดินเพิ่มเฉลี่ย 7.47 เท่า หรือเพิ่มเฉลี่ยปีละ 10.7% ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับราคาที่ดินในภูมิภาคอื่นของประเทศไทย

โดยที่ดิน “หาดราไวย์” เพิ่มขึ้นสูงสุด 14 เท่า รองลงมา “หาดบางเทา” เพิ่มขึ้น 10.67 เท่า และ “หาดไม้ขาว” เพิ่มขึ้น 9 เท่า ส่วนที่เพิ่มขึ้นช้า ได้แก่ “หาดสะปำ-หาดกะรน-เกาะสิเหร่”

ไฮไลต์อยู่ที่ราคาที่ดินตามราคาตลาด สูงสุดอยู่ที่ “หาดป่าตอง” โดย AREA ประเมินไว้ที่ 350 ล้านบาท/ไร่ หรือ 875,000 บาท/ตารางวา รองลงมา “หาดบางเทา หาดสุรินทร์ หาดกะรน” ประเมินราคาตลาด 80 ล้านบาท/ไร่ หรือตารางวาละ 200,000 บาท ซึ่งราคาที่ดินตามราคาตลาดสูงกว่าราคาประเมินของทางราชการเป็นอย่างมาก

“แสนสิริ-ออริจิ้นฯ” แข่งลงทุน
นายองอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปี 2567 แสนสิริครบรอบก่อตั้ง 40 ปี หนึ่งในประสบการณ์พัฒนาโครงการมีการต่อยอดลงทุนในภูเก็ต เป็นฮับการลงทุนที่ 2 รองจากกรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยได้เข้าไปพัฒนาโครงการในภูเก็ตแล้ว 15 ปีเต็ม จำนวน 21 โครงการทั้งบ้านแนวราบและคอนโดฯ มูลค่า 21,000 ล้านบาท

แผนลงทุนภายใน 5 ปี (2566-2570) ตั้งเป้าเปิดพรีเซล 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท ซึ่งมีผลทำให้แสนสิริจะมีมูลค่าพัฒนาโครงการในภูเก็ต 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 9 โครงการ และโครงการแนวสูง 7 โครงการ

ล่าสุด แสนสิริเตรียมเปิดพรีเซล New Brand ชื่อโครงการ “แคนวาส เชิงทะเล” ย่านบางเทาในภูเก็ต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท อยู่ใกล้โซนลากูน่า ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยมของลูกค้าต่างชาติในภูเก็ต มั่นใจว่าจะมีผลตอบรับที่ดีอีกเช่นเคย

นายกฤษณ์ เตชะสัมมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า กลุ่มออริจิ้นฯ ประสบความสำเร็จในการลงทุนโครงการที่ภูเก็ต ล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เปิดพรีเซลโครงการใหม่ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิลด์ ภูเก็ต บางเทา บีช” มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท บนที่ดิน 25 ไร่ จุดขายแปลงที่ดินบางส่วนติดหาดบางเทา ขณะเดียวกันบริษัทวางแผนลงทุนใหม่ในภูเก็ตปีนี้ รวม 13,750 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัย 11,250 ล้านบาทกับโรงแรมอีก 2,500 ล้านบาท

“แบรนด์ออริจิ้น รีสอร์ท เวิลด์ เป็นโมเดลการพัฒนาเมืองระดับเมกะโปรเจ็กต์ นำเสนอจุดขายที่มีบริษัทในเครือ ได้แก่ ออริจิ้น เนชั่นวายด์, บมจ.บริทาเนีย, บมจ.วัน ออริจิ้น และบริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ ร่วมกันพัฒนาอาณาจักรมิกซ์ยูสในทำเลเมืองท่องเที่ยว นำเสนอโปรดักต์และบริการด้านการท่องเที่ยวและพักผ่อนอย่างแท้จริง” นายกฤษณ์กล่าว