อสังหาฯ ภูเก็ตโตสวนทางภาพรวมของประเทศ มั่นใจปี 67 ยังโตต่อเนื่อง พบขอจัดสรรลดลง เหตุนักลงทุนหันไปทำโครงการขนาดเล็ก แต่มูลค่าสูง

อสังหาฯ ภูเก็ตโตสวนทางภาพรวมของประเทศ มั่นใจปี 67 ยังโตต่อเนื่อง สาเหตุยังมาจากการท่องเที่ยว ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซีย ขณะที่การขอจัดสรรลดลง ส่วนใหญ่นักลงทุนหันไปทำโครงการเล็ก แต่มูลค่าสูง

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กรรมการและเลขานุการ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทย

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กรรมการและเลขานุการ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวถึงสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดภูเก็ต ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ของสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต โดยมี นายเมธาพงศ์ อุปัติศฤง นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตเป็นประธาน มีคณะกรรมการเข้าร่วม ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมเพิร์ลภูเก็ต

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ขณะนี้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดภูเก็ตดีกว่าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ ซึ่งจากตัวเลขยอดโอนอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 พบว่าการโอนอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ ติดลบ 13.8 % แต่ของภูเก็ตจำนวนหน่วยมีการเติบโตขึ้น 1.4% ส่วนมูลค่าของเม็ดเงินที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ภาพรวมประเทศติดลบ 13.4% ส่วนของภูเก็ตมีมูลค่าบวกเพิ่มขึ้น 19.6% ซึ่งถือว่าค่อนข้างดี ซึ่งจากข้อมูลพบว่าธุรกิจอสังหาฯ ภูเก็ตดีต่อเนื่องนับแต่ปี 2565 ต่อเนื่องจนถึงปี 2566 และส่วนปี 2567 พบว่ายังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สาเหตุที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตยังคงโตอย่างต่อเนื่อง หนีไม่พ้นเรื่องของการท่องเที่ยว เมื่อการท่องเที่ยวเติบโต นักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น และสิ่งที่ตามมาคือความสนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในบ้านเรา ทำให้เห็นว่ามีการซื้อคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศค่อนข้างมากเป็นเท่าตัว ขณะเดียวกัน การเช่าระยะยาวมีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นกัน เมื่อเทียบกับปี 2565 และในไตรมาส ที่ 1 ของปี 2567 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูง และ ประมาณการได้ว่าแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตลอดทั้งปี 2567 จะมีการเติบโตที่ใกล้เคียงกับปี 2566

ส่วนเรื่องของราคาอสังหาริมทรัพย์ที่มีการซื้อขายกันมากในขณะนี้ ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ คอนโดมิเนียม และวิลล่า โดยในส่วนของคอนโดมิเนียมหรือห้องชุด พบว่า ที่มีการซื้อขายและโอนกันมากที่สุดจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 3-10 ล้านบาท ส่วนวิลล่า หรือพูลวิลล่า มีการขายในราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านบาท แต่ที่ขายได้ดีที่สุดจะอยู่ที่ 30-50 ล้านบาท กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ และที่มากเป็นอันดับหนึ่งคือตลาดรัสเซีย

ดร.วิชัย ยังได้กล่าวต่อไปว่า แนวโน้มการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตนั้นมองว่า ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์แนวสูงจะมีการเติบโตสูงและเร็วกว่าแนวราบ เนื่องจากครึ่งหลังของปี 2566 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ค่อนข้างมาก ยอดรวมอยู่ที่ประมาณ 5,000 หน่วย และคาดการณ์ว่า ในปี 2567 จะมีการเปิดตัวโครงการแนวสูงอีกจำนวนมาก อาจจะมีการเปิดตัวมากถึง 7,000 หน่วย ซึ่งดูได้จากตัวเลขขออนุญาตก่อสร้างของอาคารชุด ส่วนแนวราบคาดว่าจะมีการเติบโตที่ช้ากว่าปีที่ผ่านมา แต่ยังมีการเติบโต โดยประมาณการว่าจะลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 4% เมื่อดูจำนวนหน่วยกลับพบว่ามีจำนวนที่สูงกว่าทุกปีที่ผ่านมา และมีการขออนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้น แต่เป็นขอในรูปแบบของบ้านเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นบ้านที่มีราคาแพง ทำให้เม็ดเงินในการโอนโตขึ้นกว่าปี 2566 ถึง 8% ส่วนทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝดมีการขยายตัวอยู่เช่นกันแต่ไม่มาก

ขณะนี้บ้านในสต๊อกของภูเก็ตมีค่อนข้างมาก มีหน่วยเหลือขายในภาพรวมของตลาด ทั้งบ้านและคอนโดฯ เหลือ 8,500 ยูนิต เป็นคอนโดฯ 6,000 ยูนิต ส่วนที่เหลือ 2,500 ยูนิต เป็นบ้านแนวราบ หลักๆ จะเป็นบ้านเดี่ยวประมาณ 1,000 ยูนิต ที่เหลือจะเป็นทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝด ซึ่งตลาดภูเก็ตถือเป็นตลาดคอนโดฯ โดยแท้จริง เพราะจากจำนวนทั้งหมดจะเป็นคอนโดฯ ประมาณ 80% มูลค่ารวมประมาณ 50,000 ล้านบาท ส่วนของโครงการเกิดใหม่ในปี 2567 มีการคาดการณ์ว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 7,000 ยูนิต เป็นคอนโดฯ ประมาณ 6,600 ยูนิต และแนวราบประมาณ 500 ยูนิต

อย่างไรก็ตาม ดร.วิชัย ยังได้กล่าวถึงการยื่นขอจัดสรรโครงการสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต ว่า ขณะนี้จากการตรวจสอบพบว่ามีการยื่นขอจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยมีไม่มากนักโดยเฉพาะบ้านแนวราบ แต่ในความเป็นจริงพบว่ามีโครงการแนวราบเกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่หันไปทำโครงการที่มีจำนวนไม่กี่หลัง ทำให้ไม่เข้ากฎหมายจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งแต่ละโครงการพบว่ามีมูลค่าสูง ซึ่งเราจะเห็นกันอยู่ว่ามีการเปิดตัวโครงการกันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คิดว่าอีกไม่นานการขอจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยจะลดลงอย่างต่อเนื่อง