วันที่ 14 มิถุนายน นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) เปิดเผยว่า สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์จังหวัดภูเก็ตในไตรมาสแรกของปี 2567 มีโครงการอสังหาฯที่ขายอยู่ในท้องตลาด รวมกันถึง 500 โครงการ รวมหน่วยขายประมาณ 72,000 หน่วย มีมูลค่าการพัฒนาถึง 460,000 ล้านบาท ขายไปแล้ว 62,000 หน่วยและเหลือขายอีกราว 10,000 หน่วย
ในปี 2566 ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวถึง 8,376,464 คนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 152.29% เมื่อเทียบกับบาหลี ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวมากกว่าโดยบาหลีมีนักท่องเที่ยวเพียง 5,273,258 คน เติบโต 144.61% ยิ่งเมื่อเทียบกับ Maldives ก็มีนักท่องเที่ยวเพียง 1.8 ล้านคน ภูเก็ตจึงนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดในภูมิภาคนี้ และถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลก
สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ราวครึ่งหนึ่งอยู่ในเขตอำเภอถลาง มีจำนวนหน่วยรวมกันประมาณ 32,000 หน่วย ขายได้แล้ว 25,000 หน่วย จึงยังเหลือขายอยู่ 7,000 หน่วย ส่วนที่อำเภอเมืองมี 190 โครงการ รวม 28,000 หน่วย ขายไปแล้ว 26,000 หน่วย จึงยังคงเหลือขายประมาณ 1,200 หน่วย อำเภอที่มีจำนวนโครงการน้อยที่สุดคืออำเภอกะทู้ ซึ่งมีอยู่เพียง 70 โครงการ มีจำนวน 12,000 หน่วย และยังเหลือขายอยู่เพียง 700 หน่วยโดยสินค้าที่มีขายประกอบด้วยบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว ห้องชุดพักอาศัย ที่ดินจัดสรร อาคารชุดตากอากาศและวิลล่าหรือบ้านตากอากาศ
Advertisement
โดยอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่เพื่อการพักผ่อน ได้แก่ ห้องชุดตากอากาศและวิลล่าหรือบ้านตากอากาศมีถึง 320,000 ล้านบาท ค่าการพัฒนาทั้งหมดที่ 470,000 ล้านบาท หรือราวสองในสามของทั้งหมด ส่วนที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นที่อยู่ของคนในท้องถิ่น หรือคนไทยต่างถิ่นที่มาทำงานในภูเก็ตเป็นเพียงอสังหาริมทรัพย์ส่วนน้อย
ทั้งนี้ เฉพาะห้องชุดตากอากาศ มีมูลค่าการพัฒนาสูงสุด 210,000 ล้านบาท ประมาณ 45% ของทั้งหมด ห้องชุดเหล่านี้มีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 7.7 ล้านบาท ยังพบ 130 โครงการ จำนวน 27,000 และในขณะนี้ยังมีเหลือขายอยู่ 4,500 หน่วย ในแต่ละเดือนขายได้ประมาณ 7.2% ถือว่าสูงมากและคาดว่าจะขายหมดในเวลา 14 เดือนข้างหน้า
ด้านจำนวนโครงการมีมากที่สุด คือวิลล่าหรือบ้านตากอากาศ มีอยู่ 149 โครงการแต่ยังมีเหลือเพียง 3,300 หน่วย ในโครงการหนึ่งมีเพียง 22 หลัง เฉลี่ยหลังละ 36 ล้านบาท โครงการแบบนี้จะเป็นโครงการขนาดเล็ก ยังมีเหลือขายอยู่ 1,200 หลัง แสดงว่าขายได้แล้ว 60% และเดือนหนึ่งขายได้ 7% ของหน่วยขาย ทั้งนี้คาดว่าจะขายหมดในเวลา 14 เดือนข้างหน้าเช่นกัน
Advertisement
ส่วนห้องชุดพักอาศัยทั่วไปมีอยู่ประมาณ 50 โครงการ รวม 17,000 หน่วย เฉลี่ยโครงการหนึ่งมี 340 หน่วย ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของห้องชุดที่ขายสำหรับคนในท้องถิ่นหรือคนไทยที่มาทำงานในภูเก็ตเป็นสำคัญ มีราคาเฉลี่ย 2.4 ล้านบาทต่อหน่วย ยังเหลือค้างอยู่ 1,300 หน่วย หากคิดเป็นสัดส่วนของมูลค่าการพัฒนาซึ่งอยู่รวมกันจำนวน 40,000 ล้านบาท ก็เป็นสัดส่วน 9% ของค่าการพัฒนาทั้งหมด 460,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในแต่ละเดือนก็ขายได้ 7% จึงคาดว่าจะขายได้หมดในเวลา 15 เดือนข้างหน้า
ส่วนบ้านเดี่ยวมีประมาณ 85 โครงการรวม 6,700 หน่วย แสดงว่าในโครงการหนึ่งๆ มีจำนวนประมาณ 80 หน่วย มีมูลค่าการพัฒนา 39,000 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ย 5.7 ล้านบาท ขณะนี้ยังเหลือขายอยู่ 1,100 หน่วย แต่อัตราการขายค่อนข้างต่ำคือเดือนละ 2.2% และคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีก 4 ปี จึงจะขายได้หมด
เป็นที่น่าแปลกว่าบ้านแฝดมีจำนวนเกือบเท่าบ้านเดี่ยว แต่มีมูลค่าการพัฒนาเพียง 23,000 ล้านบาทหรือประมาณ 5% ของการพัฒนาทั้งหมด มีราคาเฉลี่ย 3.5 ล้านบาท แต่มีจำนวนเหลือขายอยู่เพียง 500 หน่วยเท่านั้น และคาดว่าต้องใช้เวลาอีกราว 3 ปีครึ่งจึงจะหมด
ยังมีทาวน์เฮาส์ พัฒนาถึง 100 โครงการรวม 10,000 หน่วย แต่เหลือขายเพียง 700 หน่วย มีมูลค่าการพัฒนาโดยรวมประมาณ 27,000 ล้านบาท หรือ 6% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด มีราคาเฉลี่ย 2.7 ล้านบาทต่อหน่วย มีอัตราการขายเดือนละ 3.1% และใช้เวลาขายราว 2 ปีครึ่งจนจะหมด
อาจกล่าวได้ว่า อสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 6.4 ล้านบาทต่อหน่วย โดยในกรณีที่อาศัย ทั่วไปมีราคา 3.5 ล้านบาทต่อหน่วย ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักผ่อน ประกอบด้วยห้องชุดเพื่อตากอากาศและวิลล่า มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 10.7 ล้านบาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ โครงการที่ราคาถูกที่สุดชื่อ “บ้านเอกชัยวิลล่า” ถนนเทพกษัตรี ย่านลิพอน เป็นทาวน์เฮาส์ชั้นเดียว ราคา 0.999 ล้าน จำนวน 45 ยูนิต แต่ขายหมดแล้ว ส่วนโครงการที่แพงที่สุดคือ The Estates at Mont Azure แถวกมลา ราคา 262 ล้านบาทต่อหน่วย
หากแยกราคาตามประเภทการพัฒนาจะพบว่า 1.บ้านเดี่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดขายในราคา 5 ถึง 7 ล้านบาทรองลงมาเป็นราคา 7 ถึง 10 ล้านบาทต่อหน่วย 2.บ้านแฝดขายในราคาประมาณ 3 ถึง 5 ล้านบาทต่อหน่วย รองลงมาขายในราคา 2 ถึง 3 ล้านบาทต่อหน่วย
3.ทาวน์เฮาส์มาขายในราคา 2 ถึง 3 ล้านบาทต่อหน่วย รองลงมาเป็นราคา 3 ถึง 5 ล้านบาทต่อหน่วย 4. ตึกแถวขายในราคา 3 ถึง 5 ล้านบาทต่อหน่วยรวมลงมาราคา 5 ถึง 7 ล้านบาทต่อหน่วยและกลุ่มนึงราคา 7 ถึง 10 ล้านบาทต่อหน่วยขึ้นอยู่กับทำเลเป็นสำคัญ
5.ห้องชุดประกาศใส่ทั่วไปกลุ่มใหญ่ที่สุดขายในราคา 2 ถึง 3 ล้านบาท เป็นหลัก รองลงมาเป็นในราคา 1 ถึง 2 ล้านบาท 6. สำหรับห้องชุดตากอากาศ กลุ่มใหญ่ที่สุดขายในราคา 5 ถึง 7 ล้านบาท รองลงมาราคา 3 ถึง 5 ล้านบาท และกลุ่มหนึ่งราคา 7 ถึง 10 ล้านบาท
- ส่วนในกรณีของวิลล่าพบว่ากลุ่มใหญ่ที่สุดขายในราคา 20 ถึง 40 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มราคา 40 ถึง 60 ล้านบาท และกลุ่มใหญ่อันดับที่สามขายในราคามากกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไป ผู้ซื้อกลุ่มนี้น่าจะให้การสนับสนุนมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
สำหรับโครงการเปิดตัวใหม่ในไตรมาสแรกของปี 2567 พบมีการเปิดตัวใหม่ 25 โครงการ รวม 4,000 หน่วย มีมูลค่ารวม 54,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยหน่วยละ 13 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นห้องชุดตากอากาศถึง 45,000 ล้านบาท หรือ 83% ของทั้งหมด และแทบทั้งหมด ของการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาสแรกนี้ เปิดในอำเภอถลาง
ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตขายได้ประมาณ 10,000 หน่วยรวมมูลค่า 90,000 ล้านบาท หรือขายเฉลี่ยหน่วยละ 9 ล้านบาท และโดยมากขายในเขตอำเภอถลาง และสินค้าที่ขายได้เร็วมากเป็นห้องชุดตากอากาศและวิลล่า ส่วนที่อยู่อาศัยของคนไทยเองกลับขายได้ช้ากว่า
สำหรับราคาที่ดินในภูเก็ต นับตั้งแต่ปี 2547 จนถึง 2567 ราคาที่ดินเพิ่มเฉลี่ย 7.47 เท่า หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10.7% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับราคาที่ดินในบริเวณอื่นของประเทศไทย ที่ราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดคือหาดราไวโดยเพิ่มขึ้นถึง 14 เท่า รองลงมาคือหาดบางเทาเพิ่มขึ้น 10.67 เท่าและหาดไม้ขาวเพิ่มขึ้น 9 เท่า ส่วนที่เพิ่มขึ้นช้าได้แก่เอาสปำ หาดกะรน และเกาะสิเหร่
โดยราคาที่ดินตามราคาตลาดสูงสุดอยู่ที่หาดป่าตองโดยประเมินไว้ที่ 350 ล้านบาทต่อไร่หรือ 875,000 บาทต่อตารางวา รองลงมา ได้แก่ บริเวณหาดบางเทา หาดสุรินทร์และหาดกะรน ซึ่งประเมินไว้ในราคา 80 ล้านบาทต่อไร่หรือตารางวาละ 200,000 บาท ทั้งนี้ราคาที่ดินตามราคาตลาดสูงกว่าราคาประเมินของทางราชการเป็นอย่างมาก
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการบริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีที่ดินรอพัฒนาในจังหวัดภูเก็ต จำนวน 2 แปลง โดยแปลงแรกมีขนาด 47 ไร่ ในย่านลากูน่า จะนำมาพัฒนาโครงการภายในปี 2567 แบ่งเป็นเฟส ซึ่งเฟสแรกนำที่ดินกว่า 10 ไร่ พัฒนาเป็นโครงการบ้านพูลวิลล่า จำนวน 28 ยูนิต ราคา 25-35 ล้านบาท เป็นโครงการขายในรูปแบบเช่าระยะยาว รองรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ขณะที่ที่ดินที่เหลือกำลังดูว่าจะพัฒนาคอนโดหรือพูลวิลล่า ส่วนอีกแปลงเนื้อที่ 7 ไร่ อยู่ใกล้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต ขณะนี้ยังไม่มีแผนจะนำมาพัฒนาโครงการ รอดูตลาดและสถานการณ์เศรษฐกิจ ส่วนราคาที่ดินแพงขึ้นเท่าตัวในปัจจุบัน
“เราเข้ามาลงทุนในภูเก็ตหลายปีแล้ว ซึ่งกำลังซื้อค่อนข้างดี โดยเฉพาะคนในพื้นที่ ยังได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยว ในช่วงโควิดขายช้ากว่ากรุงเทพและปริมณฑล แต่ปัจจุบันดีขึ้นมากแล้ว ก่อนหน้านี้ได้เปิดโครงการแนวราบกว่า 200 ยูนิต เป็นทาวน์เฮาส์ ราคากว่า 3 ล้านบาท ปิดการขายแล้ว กำลังเปิดขายโครงการที่2 ย่านถลาง ราคาเริ่มต้นกว่า 2 ล้านบาท ขณะนี้ใกล้ปิดโครงการแล้ว และไม่มีการถูกปฏิเสธสินเชื่อเลยเพราะเราทำพรีแอฟปรู๊ฟทุกราย” นายอิสระกล่าว
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทไม่มีแผนจะเข้าไปลงทุนในภูเก็ต เนื่องจากตลาดในปัจจุบันการแข่งขันสูง ขณะที่ต้นทุนที่ดินแพงขึ้นมาก และหากเข้าไปตอนนี้คงจะสายไปและติดดอยได้ เพราะแนวโน้มของตลาดอาจจะเริ่มวายแล้วหลังปีที่ผ่านมามีการเข้าไปลงทุนกันจำนวนมา